THE LITTLE PRINCE: จากวรรณกรรมอมตะ กลายมาเป็นแอนิเมชันจอใหญ่ ที่ไม่ใช่เป็นแค่การนำเอาตัวอักษรมาทำเป็นหนัง แต่เป็นการผูกเรื่องใหม่ ที่เข้ากันได้กับเรื่องราวของเจ้าชายน้อย ที่หลายๆ คนรู้จักดี ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ชาญฉลาด เพราะหากจะว่ากันมาตรงๆ หลายๆ สิ่งที่อยู่ในหนังสือ ดูจะเป็นนามธรรมยากเกินจะอธิบายออกมาให้เห็นภาพชัดเจน ยกเว้นจะบอกออกมาตรงๆ
หนังเล่าเรื่องผ่านมุมมองของเด็กหญิงคนหนึ่ง ที่ชีวิตที่วาดไว้ให้โดยแม่ที่เป็นนักบัญชี ขณะที่พ่อแยกทางไป ชีวิตของเธอดูน่าเบื่อหน่าย และขาดไร้ ‘จินตนาการ’ ขณะที่ความเป็นเด็กก็ถูกกดไว้ด้วยกฎเหล็กของแม่ จนเธอย้ายมาอยู่บ้านใหม่ ได้พบกับคุณลุงนักบิน และเขานี่เองที่ทำให้เธอรู้จักเจ้าชายน้อย ผ่านเรื่องราวที่เขาเขียนให้เธออ่าน ซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา จินตนาการ และความฝัน
หนังเก็บประเด็นของหนังสือเอาไว้ได้ดี โดยเฉพาะเรื่องการเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เคยลืมความเป็นเด็ก จินตนาการ ความฝัน ถือว่าเรื่องที่เพิ่มเข้ามา ขยายความ หรือทำให้เข้าใจเนื้อหาของหนังสือได้ง่ายขึ้น
ขณะที่โปรดัคชันก็ทำได้ดี ดนตรีประกอบเนี้ยบ การออกแบบตัวละครน่ารัก บอกแคเร็คเตอร์ชัดเจน โดยเฉพาะช่วงที่เป็นเรื่องราวของเจ้าชายน้อยในหนังสือ ภาพของตัวละครให้ความรู้สึกเหมือนเป็นตุ๊กตากระดาษ เช่นเดียวกับแบ็คกราวนด์ ทิวทัศน์ทั้งหลาย รวมไปถึงใช้โทนภาพ สี มาบอกเล่าถึงบรรยากาศต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ กับชีวิตประจำวันของตัวละครที่อยู่ในกรอบ กฎเกณฑ์ต่างๆ โทนของภาพออกมาหม่น ทึม ขาดไร้สีสัน แต่ในช่วงเวลาที่เด็กหญิงอยู่กับคุณลุงนักบิน รวมไปถึงเรื่องราวในหนังสือที่เธออ่าน ช่างเต็มไปด้วยสีสัน สดใส เจิดจ้า ตัดกันอย่างชัดเจน
ที่สำคัญ หนังวางตัวเองเป็นงานเสียดสีชัดเจน โดยเฉพาะการแดกดันชีวิตของผู้คนในทุกวันนี้ ที่ตัวเมืองเมื่อมองจากท้องฟ้าลงมา ไม่ต่างไปจากแผงวงจรคอมพิวเตอร์ การทำงานทุกอย่างเป็นไปตามกฏเกณฑ์ หน้าที่ ตามแผนที่วางเอาไว้ ไม่มีอารมณ์ ความรู้สึก อย่าง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป๊ะอยู่กับตัวบทกฏหมาย โดยที่ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พ่อที่ส่งของขวัญวันเกิดแบบเดิมๆ มาให้ลูก แม่ที่ระบุไว้ล่วงหน้าว่าลูกจะได้ของขวัญวันเกิดเป็นอะไร? และ ‘เพื่อทำ’ อะไร?
และที่ขาดไม่ได้ การเป็นผู้ใหญ่ที่นึกถึงแต่เรื่องความสำเร็จ ผลประโยชน์ และจับโยนความคิดแบบนั้นมาให้เด็กๆ แล้วตีเส้นให้พวกเขาเดินจนกลายเป็นเครื่องจักรไร้หัวใจไม่แตกต่างกัน แบบคนที่ตัวเองลืมความเป็นเด็กไปแล้ว และจะให้เด็กลืมความเป็นเด็ก เพื่อกลายเป็นผู้ใหญ่ในแบบตัวเองตั้งแต่วันนี้
ในส่วนของพล็อต โปรดัคชัน The Little Prince สอบผ่าน แต่กับการ ‘เล่า’ เรื่อง หนังดูจะเนิบช้า เข้าใจว่าน่าจะให้คนดูค่อยซึมซับกับเรื่องราวเหมือนกันตอนที่ได้อ่านหนังสือ แต่ท่าว่าจะประดิษฐ์จนดูเนือย และดูเอื่อยขาดพลัง ขณะที่ในช่วงท้าย คุณแม่ก็เปลี่ยนใจ คลี่คลายง่ายดายเหลือเกิน
เป็นงานที่รู้สึกได้ถึงความตั้งใจ และพยายาม ซึ่งก็น่าจะเป็นงานที่อบอุ่น และประทับใจได้แน่ๆ สำหรับแฟนๆ ทั้งหลายที่ใช้ใจดูไปพร้อมๆ กัน
ส่วนคนที่ไม่ใช่นั้น…. ไม่แน่ใจ…
โดย นพปฎล พลศิลป์
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านงานวิจารณ์หนัง และเพลง แบบนี้ ได้ด้วยการกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์กันไว้ก่อน ได้ที่นี่