นักร้องชาวมินนีอาโพลิส เจ้าของความคิดสร้างสรรค์มหาศาลอย่างพรินซ์ นอกจากจะสร้างงานเพลงที่ไร้ขอบเขตจำกัด ในนามของตัวเองแล้ว พรินซ์ยังทำงานแต่งเพลง โปรดิวซ์ให้กับศิลปินอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ เกิร์ลกรุ๊ป เช่น Vanity 6 หรือวงซินธ์-ฟังค์ The Time กระทั่งศิลปินที่แตกต่างจากเขามากๆ อย่าง ซีเนด โอคอนเนอร์ก็มีเพลงฮิตระเบิดจากการแต่งของพรินซ์ รวมไปถึงชากา ข่าน, the Bangles และเทวิน แคมป์เบลล์
นี่คือเพลงที่พรินซ์ทำให้ศิลปินคนอื่น และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
Nasty Girl, Vanity 6 (1982): 4 ปีก่อนหน้าที่เจเน็ท แจ็คสัน จะเปลี่ยนคำแง่ลบอย่าง “nasty” ให้เป็นคำในแง่บวก วานิตีซิกส์ เกิร์ลกรุ๊ปที่พรินซ์เป็นคนปั้นนำร่องมาก่อนด้วยเพลง Nasty Girl ซิงเกิลแรกและซิงเกิลฮิตเพลงเดียวของวง ซึ่งพรินซ์ทั้งแต่งและโปรดิวซ์ให้ โดยตั้งใจให้เป็นเพลงสำหรับฟลอร์เต้นรำ รวมไปถึงนักเต้นระบำรูดเสา “ทีแรกเลย พรินซ์อยากเรียกฉันว่า วาไจนา (Vagina – ช่องคลอด)” วานิตี เจ้าของชื่อจริง เดนิส แม็ทธิวส์ เล่าไว้เมื่อปี 1985 “ถึงแม้เขาจะออกเสียงว่า วาจีนา ก็ตามที แต่มันก็เพี้ยนอยู่ดี ตัวเลือกต่อมาของเขาคือ วานิตี ซึ่งฉันชอบนะ” เพลงนี้ไม่ติดชาร์ทเพลงฮิต บิลล์บอร์ดฮ็อท 100 แต่ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ทเพลง Hot Dance Club Play ก่อนจะโดนเขี่ยลงมาโดยเพลง 1999 ของพรินซ์
When You Were Mine, ซินดี ลอเพอร์ (1983): เพลงจากอัลบั้ม Dirty Mind ของพรินซ์ในปี 1980 ที่เจ้าตัวบอกว่าได้แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงร็อค ขณะฟังเพลงของจอห์น เล็นนอน แม้ไม่ถูกตัดเป็นซิงเกิล แต่ก็โดนตัดเป็นแผ่นโปรโมท 12 นิ้ว แล้วก็เป็นเพลงหน้าบีของซิงเกิล Controversy ในปี 1981 ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยให้เพลงฮิตอะไร จนซินดี ลอเพอร์ นักร้องสาวชาวนิว ยอร์คเอามาร้องใหม่ เป็นเพลงบัลลาดจังหวะกลางๆ เน้นงานซินธิไซเซอร์ ใส่ไว้ในอัลบั้มชุดแรกของเธอ She’s So Unusual โดยไม่มีการเปลี่ยนเนื้อร้อง ซึ่งแสดงถึงการยอมรับความสัมพันธ์แบบไบเซ็กชวลของพรินซ์ ที่แสดงออกมาในเพลง ฉบับของลอเพอร์แม้จะฟังเศร้า แต่ก็มีความเซ็กซีในสไตล์พรินซ์ จากภาพของเซ็กส์แบบสามเส้า ที่กลายเป็นเรื่องผิดพลาด และหญิงสาวดันไปชอบเพื่อนชายของเขามากกว่า แม้จะถูกตัดเป็นซิงเกิลพิเศษในอเมริกา แต่กลับไปฮิตในแคนาดาและญี่ปุ่นมากกว่า
Stand Back, สตีวี นิคส์ (1983): ในทางเทคนิค เพลงเต้นรำเสียงร้องแหบแห้งที่ขึ้นถึงอันดับ 5 ในชาร์ทเพลงฮิตบิลล์บอร์ด ฮ็อท 100 จากอัลบั้ม Wild Heart ของนิคส์ แต่งโดยเจ้าตัวเอง แต่นิคส์ก็บอกว่าเพลงนี้เป็นของพรินซ์ เพราะเขาเป็นคนแต่งและบันทึกเสียงท่อนซินธิไซเซอร์ อันน่าจดจำของเพลง เธอเล่าถึงความเป็นมาว่า ในเช้าวันแต่งงานของเธอกับคิม แอนเดอร์สัน – สามีใหม่ ทั้งคู่ขับรถขึ้นเหนือไปซานตา บาร์บารา เพื่อไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ และเธอก็ได้ยินเพลง Little Red Corvette เป็นครั้งแรก เธอแต่งเพลงนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบในวันนั้น แล้วก็ฮัมคลอไปกับเพลงที่ว่าของพรินซ์ วันที่นิคส์บันทึกเสียงเพลงนี้ เธอโทรไปเล่าเรื่องให้เขาฟัง 20 นาทีต่อมาพรินซ์ก็ปรากฏตัวที่ห้องอัดของเธอ “เขาเดินตรงไปที่ซินธิไซเซอร์ที่ถูกเซ็ทเอาไว้แล้ว มันเป็นความเยี่ยมยอดที่เห็นอยู่ตรงหน้าราวๆ 25 นาที แล้วเขาก็จากไป” นิคส์เล่า “เขาทำให้วงต่างๆ ที่ฉันเคยร่วมงานด้วยดูแย่ไปเลย เพราะไม่มีใครที่สร้างเพลงขึ้นมาใหม่ได้ ต่อให้มีมือเปียโนสองคนก็เถอะ สิ่งที่พรินซ์ทำมันเล็กน้อยมากสำหรับตัวเขา”
Sex Shooter, Appollonia 6 (1984): กับการเป็นนักปั้น พรินซ์ไม่ต่างไปจากไซมอน โคเวลล์ นอกจากวานิตีซิกส์แล้ว เขายังปั้นวงเกิร์ลกรุ๊ปอีกวง ที่ประกอบด้วย แพทริเซีย โคเทโร, เบรนดา เบนเน็ทท์ และซูซาน มูนซี ซึ่งออกอัลบั้มชื่อเดียวกับวงมาชุดหนึ่ง และนี่คือซิงเกิลฮิตของวง ที่ขึ้นไปถึงอันดับ 85 ของชาร์ทบิลล์บอร์ด ฮ็อท 100 และอันดับ 7 ในชาร์ทเพลงเต้นรำ และชาร์ทเพลงอาร์แอนด์บี ที่เนื้อร้องนั้นล่อแหลมเหลือเกิน “I’m a sex shooter, shooting love in your direction… I need you to come and pull my trigger, babe, I can’t do it alone”
จากเรื่อง เพลงของพรินซ์ ที่ฮิตโดยศิลปินอื่น โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ ไทยโพสท์ วันที่ 27 เมษายน 2559
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านงานวิจารณ์หนัง และเพลง แบบนี้ ได้ด้วยการกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์กันไว้ก่อน ได้ที่นี่