โดย ประวิทย์ แต่งอักษร
ที่มา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=290282337789517&set=a.104326393051780.11403.100004232590256&type=1&theater
AT BERKELEY: ไม่ได้ดูหนังในโรงหนังที่กินเวลาฉายสี่ชั่วโมงเต็มแบบรวดเดียวมานานแล้ว (หรือที่จริง สี่ชั่วโมงกับสี่นาที) และตอนเริ่มต้นดูหนังเรื่อง at berkeley (ซึ่งเป็นหนังเปิดเทศกาลหนังสารคดีนานาชาติ ศาลายา ครั้งที่ 4 ณ หอภาพยนตร์) ก็บอกเป็นการให้กำลังใจกับตัวเองว่าถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืน หลับไปเลย เพราะที่นั่งของโรงหนังศรีศาลายาก็เอนหลังได้องศากำลังดี อากาศในโรงหนังก็กำลังเย็นสบาย (แถมมีฝนตกมาก่อนหน้าด้วย)
แต่ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่ใครๆเขาพูดกัน นี่เป็นหนังสารคดีที่ดูเพลิดเพลิน และชวนให้ติดตามมากๆ สี่ชั่วโมงก็ไม่ใช่ปัญหาหรือความทุกข์ทรมานแต่อย่างใด เพราะเอาเข้าจริงๆ เราจดจ่อกับสิ่งละอันพันละน้อยที่หนังบอกเล่า และไม่รับรู้ถึงการเคลื่อนผ่านไปของกาลเวลา (เมื่อยกนาฬิกามาดูเวลาอีกที มันเกือบจบแล้ว)
อีกทั้งอุปสรรคทางด้านภาษาก็ถูกทำให้ลดน้อยลง เมื่อมีคำบรรยายภาษาอังกฤษคอยกำกับ เรียกว่าฟังไม่ทัน ก็ยังอ่านตามได้ และขณะที่ subject อาจจะเป็นเรื่องหนักสมอง และไกลตัวซะเหลือเกิน อันได้แก่ เรื่องการจัดการศึกษา การเรียนการสอน ไปจนถึงปัญหาของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเบิร์กเล่ย์ (ซึ่งลงเอยด้วยการประท้วง) แต่การที่กล้องของเฟรเดอริค ไวส์แมนพาเราไปในทุกหนทุกแห่งที่เป็นไปได้ ทั้งในห้องเรียน ในห้องประชุมของผู้บริหารมหาวิทยาลัย ในม็อบที่มีการประท้วง มันเป็นทั้งสิทธิพิเศษที่คนปกติจะไม่มีวันได้รับ และบทสนทนาและข้อถกเถียงหลายต่อหลายครั้งของบรรดานักศึกษา ครูบาอาจารย์-ก็ thought provoking มากๆ
พูดง่ายๆ มันน่าจะทำให้ผู้ชมได้ฉุกคิดและหวนกลับมาทบทวนหลายเรื่องรอบตัว ตั้งแต่เรื่องสีผิว, ชนชั้น, ความเป็นปัญญาชน, ปัญหาการศึกษา ฯลฯ ในแง่มุมที่ไม่เหมือนเดิม ข้อสำคัญ มันทำให้เราได้เข้าใจความหมายของคำว่า ‘สังคมอุดมปัญญา’ อย่างแท้จริง หรืออีกนัยหนึ่ง สังคมที่ไม่ได้คิดในเรื่องอะไรต่ออะไรในแบบ stereotype หรือสำเร็จรูป หรือคับแคบ และยึดถือวิธีคิดแบบนี้เป็นตรรกะในการปกป้องจุดยืนและอุดมการณ์ของตัวเองแบบหน้ามืดตามัว