จากจุดเริ่มต้นซึ่งมีที่มาแบบหลวมๆ จากเว็บตูนเรื่อง Dead Days ของดีย์ เมื่อปี 2014 แม็ทท์ เนย์เลอร์ มือเขียนบทที่ทำงานในฮอลลีวูด เจ้าของเครดิทกำกับ/ ตัดต่อ และเขียนบท ซีรีส์อเมริกันเรื่อง Small Business Revolution: Main Street รวมไปถึงหนังสั้น What It’s Like ร่วมกับผู้กำกับชาวเกาหลี โช อิล-ฮยุง หรือ อิล โช ปั้นเป็นบทหนังเพื่อตลาดเกาหลี กลายเป็น #Alive ลงโรงฉายในเกาหลีราวๆ เดือนมิถุนายน แล้วก็ทำสถิติเป็นหนังที่มีผู้ชมมากที่สุดในเกาหลีหลังวิกฤติโควิด-19 ระบาด มีผู้ชมร่วมๆ 2 ล้านคน และครองอันดับหนึ่งหนังทำเงินประจำสัปดาห์ถึงสามอาทิตย์รวด
ขณะที่ในตลาดนอกเกาหลีใต้ #Alive มีให้ชมกันทางผู้ให้บริการสตรีมิงเน็ทฟลิกซ์ เมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมานี่เอง
ที่พอได้ชม แล้วก็มองไปถึงความสำเร็จของหนังซอมบีเกาหลีทั้งหลาย ที่ถูกเรียกว่าเค-ซอมบีไปเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นหนังใหญ่อย่าง Train to Busan, Peninsula: Train to Busan, Rampant หรือว่าซีรีส์ Kingdom มาถึงตอนนี้ หากผู้ชมที่เติบโตและเพิ่งรู้จักกับหนังซอมบี ที่เป็นแนวย่อยของหนังสยองขวัญอีกที จะเข้าใจว่าหนังแนวนี้เป็นงานที่เริ่มต้นจากวงการภาพยนตร์เกาหลีก็คงไม่ผิด ทั้งความต่อเนื่องในการทำงาน ทั้งคุณภาพและความบันเทิงของหนัง ล้วนทำให้คิดเช่นนั้นจริงๆ
โดยเฉพาะในยามที่หนังซอมบีตะวันตกดูอ่อนแรง และมีเรื่องราวที่วนไปวนมาอย่างที่เห็น
หนังเค-ซอมบีไม่ใช่แค่ดูสนุก แต่ยังมีลักษณะเฉพาะ ทั้งตัวซอมบี และการเล่าเรื่อง ที่ทำให้แตกต่างไปจากต้นฉบับ รวมไปถึงมีความแข็งแรงในตัวเอง
แม้หากเทียบกับเรื่องก่อนๆ หน้า #Alive อาจจะดูด้อยกว่าในเรื่องการนำเสนอประเด็นทางสังคม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตลอดระยะเวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง หนังตอบโจทย์ในเรื่องความบันเทิงได้สำเร็จ แม้จะไม่มีความคมคาย หากก็ชัดเจนและตรงไปตรงมาในการเล่าเรื่องที่ไม่มีอ้อมค้อม เปิดฉากด้วยการระบาดของซอมบีในแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย จับตัวละครโอ จุน-วู ของยู อาห์-อิน อยู่ในสภาพที่ต้องขังตัวเองในอพาร์ทเมนท์ที่เต็มไปด้วยซอมบี มีอาหารการกินไม่มากนัก รับรู้แต่ข่าวสารที่นำเสนอเรื่องราวเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา โดยระหว่างนั้นตัวเองก็โพสท์ขอความช่วยเหลือผ่านทางโซเชียลมีเดียต่างๆ และพยายามหาทางติดต่อคนอื่นๆ จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นหลายๆ อาทิตย์ ในที่สุดจุน-วูก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แต่ยังมีหญิงสาวที่อยู่ในตึกตรงข้ามที่ชื่อ คิม ยู-บิน (พาร์ค ชิน-ฮเย) อยู่อีกคน
นอกจากจะเป็นหนังสยองขวัญ, ซอมบี #Alive ก็คือหนังต้องรอด (Survival) ที่ตัวละครต้องหาทางพาชีวิตผ่านสถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้นให้ได้ ในสภาพที่ทุกอย่างมีอย่างจำกัด และค่อยๆ ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ กระทั่งช่องทางในการสื่อสารเองก็เช่นกัน
หนังสร้างเงื่อนไขบีบตัวละครได้อย่างต่อเนื่อง ในแบบที่ทำให้ผู้ชมต้องลุ้นว่า ‘เขา’ จะหาทางออกให้ตัวเองยังไง แต่ก็ต้องยอมรับว่า หลังเปิดเรื่องได้อย่างน่าตื่นเต้น #Alive ก็อยู่ในสถานการณ์ซ้ำๆ อยู่พักใหญ่ ยังดีที่มีอารมณ์ขันแบบกวนๆ ของตัวละคร มาช่วยให้หัวเราะหรือยิ้มแบบขื่นๆ กับสถานการณ์แบบตลกร้ายที่เกิดขึ้นได้เป็นระยะๆ ช่วยผ่อนความนิ่งของหนังได้บ้าง
จนเปิดตัวละครยู-บิน หนังถึงกลับมาสู่โหมดน่าตื่นเต้นอีกครั้ง เมื่อทั้งคู่พยายามช่วยเหลือกันและกัน ที่จบลงด้วยความพยายามหาแหล่งพักพิงใหม่ เมื่อเสบียงกรังทั้งหลายหร่อยหรอลงไปทุกที
หนังปิดจบอย่างเรียบง่ายไม่ต่างไปจากเรื่องราวของตัวเองและการเล่าเรื่อง โดยมีการตั้งคำถามถึงความรักที่ทำให้คนลืมความเป็นมนุษย์หรือความสำคัญชีวิตของคนอื่น ที่นำไปสู่ประเด็นที่ว่า ท้ายที่สุดแล้วเหล่าซอมบีกระหายเลือดที่ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ และไม่มีความคิดอะไรซับซ้อน กับคนเราที่มีชีวิต มีความคิด มีจิตใจ ท้ายที่สุดแล้วใครน่ากลัวกว่ากัน
แล้วก็ตอกย้ำว่า ในความเป็นมนุษย์ของเรา ความหวังเป็นสิ่งสำคัญไม่ว่าจะเป็น จุน-วูที่เมื่อสูญสิ้นทุกอย่าง ทั้งของยังชีพ และคนใกล้ชิด ความหวังเหมือนดับวูบไปเรียบร้อยแล้ว แต่แสงเลเซอร์ที่ยู-บินยิงมาหา ก็ไม่ต่างไปจากแสงที่ปลุกความหวังของเขาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อรับรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
ยู-บินก็มีต้นไม้ในกระถางเล็กๆ เป็นที่ยึดเหนี่ยว ว่าตราบใดที่เธอยังมีลมหายใจ มันก็ยังต้องมีชีวิต รวมไปถึงใครบางคนที่หวังว่าจะได้ใช้ชีวิตกับคนที่ตัวเองรักไปเรื่อยๆ แม้จะไม่อยู่ในสภาพที่อยู่ร่วมกันได้อีกแล้ว และด้วยความหวังเหล่านั้น ก็ทำให้พวกเขา ‘ต้องรอด’ ให้ได้จากวิกฤติชีวิตในครั้งนี้
ขณะที่หนังซอมบีซึ่งรวยรินลมหายใจในโลกตะวันตก นอกจากจะมีความหวัง ก็ยังเอาตัวรอดได้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฝั่งตะวันออก และมีนิยามเฉพาะว่า เค-ซอมบีเรียบร้อยแล้ว
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสาร เอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1312 ปักษ์หลังกันยายน 2563