เรื่องราวของ Demon Slayer: Kimetsu No Yaiba จบลงตรงที่การเดินทางไปปฏิบัติภารกิจครั้งใหม่ของทันจิโรกับเนะซึโกะ, เซนอิตสึ และอิโนะสุเกะ บนขบวนรถไฟสายนิรันดร์ ที่เกิดมีผู้โดยสารหลายคนสูญหายไป โดยที่มีเสาหลักของหน่วยพิฆาตอสูร – ฮาชิโระ เคียวจิโร เร็นโกคุ เจ้าของปราณอัคคี เดินทางมาล่วงหน้าอยู่แล้ว
และภารกิจครั้งนี้ ก็ไม่ได้เป็นภารกิจที่ต้องชมกันในจอเล็กๆ แต่เป็นการชมผ่านจอใหญ่ในโรงภาพยนตร์ ที่ว่ากันยาวๆ รวดเดียวเกือบๆ สองชั่วโมง
ซึ่งทีมงานก็ใช้ทั้งเรื่องของจอภาพ (ที่ในหลายๆ ประเทศหนังขึ้นจอไอแม็กซ์) กับความยาวที่เพิ่มขึ้นให้เป็นประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า
เมื่อบรรดาฉากแอ็คชัน ดูตื่นตา ว่ากันยาวๆ หวือหวาฉูดฉาดมากกว่าในซีรีส์มากมาย สมกับเป็นงานจอใหญ่
เนื้อหนังก็ได้ความต่อเนื่องที่ไหลกันไปแบบไม่มีสะดุด ความมันส์ของฉากแอ็คชันทั้งหลายไม่ใช่แค่ใหญ่โต แต่ไปสุดทางมากกว่าเดิมในเรื่องอารมณ์ ฉากซึ้งๆ หรือเศร้าๆ ก็บีบ ขยี้ความรู้สึกอย่างได้ผล โดยเฉพาะในช่วงท้าย ที่อาจจะทำให้คนที่อ่อนไหว และแพ้ทางเรื่องราวในแบบวีรบุรุษ ถึงกับเสียน้ำตาได้ไม่ยาก
หนังไม่ต้องเสียเวลาไปกับการปูโน่นนี่นั่นให้เสียเวลา เพราะว่ากันมายาวจากซีรีส์ ที่มีถึง 26 ตอนเรียบร้อย เปิดฉากมากก็เดินหน้ากันเลย และก็ไม่ต่างไปจากซีรีส์เพราะยังคงกระชับ รวดเร็ว ไม่เวิ่นเว้อ ยกเว้นในช่วงท้ายที่ต้องให้เวลากับฉากเรียกน้ำตา และความซาบซึ้ง ที่จะว่าไปแล้วเมื่อดูจากผลลัพธ์ ก็ไม่ได้ยืดย้วยจนเลี่ยนแต่ประการใด
การออกแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากต่อสู้ ความสามารถพิเศษของตัวละคร และตัวละคร ที่น้ำหนักไปอยู่ที่ฝั่งอสูร เมื่อมีทั้งตัวละครที่เพิ่งรู้จักกันเต็มตา และเปิดหน้าตัวละครใหม่อีกราย ส่วนฝ่ายตรงข้ามมีเสาหลักอย่างเร็นโกคุ เป็นคนหน้าเกือบใหม่เพียงลำพัง ยังคงอยู่ในระดับมาตรฐาน แล้วหากมองไปถึงศักยภาพของตัวหนังที่เป็นงานจอใหญ่จะบอกว่าเป็นการยกระดับก็คงได้ เพราะสามารถสนับสนุนรูปแบบที่เปลี่ยนไปและแตกต่างจากเดิม
หนังก็ยังเปิดหน้าตัวละครฝั่งอสูรกลุ่มใหม่ อสูรจันทราข้างขึ้น ที่พลังความสามารถแตกต่างไปต่างอสูรจันทราข้างแรมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ในตอนต่อๆ ไปของซีรีส์ ทันจิโรกับน้องสาว และเพื่อนๆ รวมไปถึงสมาชิกหน่วยพิฆาตอสูร จะต้องเผชิญหน้ากับตัวร้ายที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ซึ่งยังไม่ใช่บอสส์ใหญ่ของฝ่ายอสูรเลยด้วยซ้ำ ที่ความเข้มข้นของเรื่องราว โดยเฉพาะการเป็นงานแอ็คชัน น่าจะดุเดือดมากกว่าฤดูฉายแรกแน่ๆ
ในแง่ของการตลาดถือว่าเป็นการทำงานที่ส่งผ่านถ่ายทอดกันเป็นอย่างดี จากซีรีส์โทรทัศน์ มาเป็นหนังใหญ่ แล้วก็ไปตามกันต่อที่ซีรีส์ ที่ทำได้อย่างราบลื่นและสวยงาม จนดูเหมือนเป็นการต่อยอด แตกกิ่งก้านกันแบบง่ายๆ
หากอย่าลืมว่า ถ้าไม่ใช่งานที่ดูสนุก ให้คนติดหนึบ ตั้งแต่จอเล็ก งานจอใหญ่ก็ไม่น่าจะได้รับการตอบรับอย่างที่เห็น และการกลับไปเป็นซีีรีส์อีกครั้ง ก็คงไม่น่าสนใจอย่างที่เป็นไปในตอนนี้
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1319 ปักษ์แรก มกราคม 2564