หนังเรื่องแรกของเวนอม ทิ้งท้ายเอาไว้ได้น่าสนใจ กับการเปิดตัววูดดี้ ฮาร์เรลสัน ที่จะมารับบทตัวร้ายในหนังภาคต่อ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น กับตัวหนังจริง ๆ ของ ‘Venom – Let There Be Carnage’ กลับไม่ได้เข้มข้นอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อหนังยังพาตัวเองหลุดไม่พ้นจากโครงสร้างของหนังภาคแรก ตัวเรื่องไม่ได้ขยับไปไกลสักเท่าไหร่ จนดูเป็นแค่อีกหนึ่งปฏิบัติการของ ซูเปอร์ฮีโรกึ่งวายร้ายรายนี้ มากกว่าจะเป็นเรื่องราวที่สืบเนื่อง มีพัฒนาการเป็นเรื่องเป็นราว
หากในแง่ตัวละคร ถือว่าเดินมาจากจุดเริ่มต้นใช้ได้ ในเรื่องความสัมพันธ์ถึงจะยังเล่นกับความขัดแย้งทางความคิด มุมมอง และการใช้ชีวิต ของตัวเอ็ดดี้ บร็อก (ทอม ฮาร์ดี้) กับเวนอม สิ่งมีชีวิตต่างดาว ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเขา แต่ปมหรือประเด็นต่าง ๆ ก็มาไกลขึ้น เมื่อเจ้าเวนอมเริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตของมนุษย์ มีความเป็นคนในตัวมากกว่าเดิม โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับความรัก ที่ทำให้ตัวมัน ไม่ต่างไปจากด้านที่ตรงไปตรงมาในเรื่องนี้ของบร็อก ความสัมพันธ์ของบร็อกกับอดีตแฟนสาว แอนน์ เวยอิ้ง (มิเชลล์ วิลเลียมส์) ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อเธอเลือกที่จะมูฟออน (Move On) แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีเยื่อใยให้กับบร็อก ที่อยู่ในสถานการณ์แบบจะรักก็ไม่ใช่ แค่ห่วงใยก็ไม่เชิง
ยิ่งหนังวางคู่เปรียบในเรื่องประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งในแบบเดียวกับเวนอมและบร็อก จากคาร์เนจและเคลทัส (ฮาร์เรลสัน) ทั้งความรักที่ได้ ฟรานเซส บาร์นิสันหรือชรีก (นาโอมี แฮร์ริส) กับเคลตัส (และคาร์เนจ) มาเทียบเคียงกับแอนน์และบร็อก (รวมถึงเวนอม) มาเป็นขั้วตรงข้าม ก็พอจะทำให้หนังซึ่งภาพรวมดูไม่ต่างจาก อีกหนึ่งปฏิบัติการณ์ของเวนอม-เอ็ดดี้ บร็อก มีความซับซ้อนมากขึ้น
เมื่อรวมเข้ากับความเปลี่ยนแปลงภายใน ของตัวละครบร็อกและเวนอม ที่หนนี้ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องการชิงร่าง หากเป็นการอยู่ร่วมกันให้ได้ตลอดรอดฝั่ง ท่ามกลางความขัดแย้งทั้งการใช้ชีวิต ทั้งมุมมองที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ หนังทำให้เห็นความสำคัญของการใช้ชีวิตคู่ การคบค้ากับใครสักคน ที่บางครั้งไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกันไปทุกเรื่อง แต่ต้องมีเป้าหมายเดียวกัน หรือเข้าใจกัน ซึ่งตรงนี้เองก็คือจุดตายของตัวคาร์เนจและเคลทัส ที่ทำให้พ่ายแพ้เวนอมและบร็อกในท้ายที่สุด
และที่ลืมไม่ได้ก็คือ การแสดงของทอม ฮาร์ดี้ ที่ลื่นไหล และสนุก สร้างความแตกต่างให้กับบร็อกและเวนอม ที่ดูเหมือนเป็นงานของนักแสดงสองคนที่เล่นรับ-ส่งกันได้อย่างลงตัว ที่ทำให้ความซ้ำซากในเรื่องการเล่นสนุกกับความต่างของสองตัวละครนี้ ไม่ถึงกับซ้ำซากจนน่าเบื่อ แม้ในเรื่องความสดจะไปอยู่กับรายละเอียดที่ทั้งสองคนมีต่อคนรอบข้างเป็นส่วนใหญ่ก็ตามที
ส่วนฮาร์เรลสัน กับแฮร์ริส ที่รับบทเป็นตัวร้ายของเรื่อง เหมือนกับจะเป็นคู่โหดในแบบ ‘Natural Born Killer’ ยังไง ๆ อยู่ แล้วที่สำคัญ หนังไม่ได้ทำให้รู้สึกว่า ตัวละครของทั้งสองคน เป็นพวกที่น่าเห็นใจ หรือน่าสงสาร ถ้านำไปเทียบกับบรรดาตัวร้ายในหนังจักรวาลของไอ้แมงมุมส่วนใหญ่แล้ว ทั้งคู่ดูจะเป็นตัวละครมิติเดียวเลยด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วก็ไม่ถึงขนาดนั้น
ในความช้ำ หรือซ้ำ ของ ‘Venom – Let There Be Carnage’ หากมองกันจริง ๆ สามารถใช้คำว่า ‘ดูเหมือน’ มาขยายได้ เพราะเมื่อลงลึกในรายละเอียด มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่มีพัฒนาการ อย่างที่ว่าเอาไว้ แม้จะไม่ถึงสดใหม่ในแบบที่รู้สึกได้จัง ๆ หรือชัดเจน แล้วก็ไม่ได้สร้างเซอร์ไพรส์อะไรนัก
และจริง ๆ แล้วสิ่งที่ทำให้ร้องออกมาว่า ‘ว้าว!’ ก็คือ ฉากหลังเครดิตท้ายเรื่อง ที่ทำให้โลกของเวนอม กำลังจะไปอยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง ซึ่งเป็นไปได้มากมายว่า จะขยายขอบเขตออกไปไกลอีกมากมายมหาศาล ซึ่งต้องตามกันต่อไป
โดย นพปฎล พลศิลป์
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่