วงดนตรีจากชาร์ลสตัน, เซาธ์ แคโรไลนา ที่ฟอร์มวงกันมาตั้งแต่ปี 2013 มีอัลบัมแรกที่ใช้ชื่อวงเป็นชื่อชุดออกมากับค่ายเพลงเล็กๆ ในปี 2014 แล้วก็ตามด้วย & I’m Fine Today ในอีก 3 ปีต่อมา และการกลับมาในปีนี้ ซัสโตมีค่ายใหญ่ราวน์เดอร์ให้การดูแล
ไม่ต่างจากวงดนตรีอื่นๆ ที่เวียนว่ายในวงการอยู่นาน กว่าจะได้เซ็นสัญญาเป็นหลักเป็นฐาน สมาชิกของซัสโตก็เปลี่ยนแปลงไปมาอยู่หลายคน ก่อนจะจบลงที่ จัสติน ออสบอร์น, มาร์เชลล์ ฮัดสัน, ไดรส์ แวนเดนเบิร์ก, จอร์แดน ฮิคส์ และสตีเวน วอล์คเกอร์ อย่างที่เห็นในงานชุดล่าสุด Ever Since I Lost My Mind โดยมีจัสติน ออสบอร์นเป็นแกนหลัก ส่วนชื่อวงนั้นมีที่มาจาก อาการป่วยทางวัฒนธรรม ที่เกิดขึ้นกับคนเชื้อสายละตินตั้งแต่แถบเท็กซัสไล่ละไปจนถึงตอนกลางของสหรัฐอเมริกา
งานเพลงของซัสโต จากที่ไล่เรียงฟังอัลบัมสองชุดก่อนหน้า รวมไปถึงงานอีพี และงานแสดงสดที่สามารถหาฟังได้ในแอปเปิล มิวสิค หากจะให้นิยาม เพลงของพวเขาก็คือ ดนตรีร็อคยุคใหม่ ที่เต็มไปด้วยอิทธิพลของงานในแบบคันทรี-ร็อค ไม่ว่าจะเป็นสำเนียงดนตรี การเรียบเรียงเพลง เสียงร้อง และอารมณ์ของงาน
โดยเฉพาะอัลบัมแรกที่ตัวงานลงลึกไปถึงการเป็นงานคันทรี-โฟล์คเลยด้วยซ้ำ จากนั้นพวกเขาก็เติมซาวนด์แปลกๆ สำเนียงดนตรีใหม่ๆ เข้ามา ทำให้อัลบัมชุดที่สอง & I’m Fine Today ทั้งร่วมสมัย ทั้งมีความเป็นร็อคมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงเครื่องสายจากคีย์บอร์ด โปรแกรมกลองหรือว่าลูป รวมไปถึงการมิกซ์เสียงที่ฟังล่องลอย และซาวนด์ของเบสที่ฟังบวมๆ แบบไซคีดีลิก โดยที่ไม่ทิ้งอิทธิพลของดนตรีคันทรีและโฟล์คไปไหน
เรียกได้ว่า พวกเขาเติบโต และพยายามหาทางที่ชัดเจนของตัวเองไปพร้อมๆ กัน โดยมีงานชุดแรก SUSTO เป็นรากฐานสำคัญ
และ Ever Since I Lost My Mind ก็คือการสานต่อสิ่งที่เริ่มต้นเอาไว้ใน & I’m Fine Today หากไม่ได้มาพร้อมบรรยากาศที่ล่องลอย เคลิ้มเคลิ้บนักหนาแบบนั้น ตัวเพลงส่วนใหญ่ฟังโปร่ง ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แล้วก็ฟังง่าย เข้าถึงง่ายมากกว่าเดิม
ที่หลายๆ เพลง อย่าง “Weather Balloons” หรือ “Manual Transmission” ก็อาจจะทำให้นึกถึงเพลงของวงอัลเทอร์เนถีฟ-ป็อปทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Third Eye Blind หรือ Semisonic รวมไปถึง Marcy Playground ที่ปรับแต่งดนตรีป็อป-ร็อคแบบอเมริกัน ด้วยซาวนด์ที่เข้ายุค เข้าสมัยมากขึ้นจนกลายเป็นทางดนตรีที่พอจะให้นิยามเฉพาะได้อีกรูปแบบหนึ่ง ขึ้นมาได้บ้างในช่วงเวลานั้น
ในขณะเดียวกัน หลายๆ เพลงก็ไปไกลจากสิ่งที่พวกเขาเคยเริ่มต้นเอาไว้จาก SUSTO อัลบัมแรกไม่น้อยเลย เช่น “Last Century”
หากก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะปลดทิ้งรากเดิมของตัว หรือปรับแต่งจนไม่เหลือภาพเดิมๆ อย่างที่เคยได้ยิน ได้ฟังจากจุดเริ่มต้นไปจนหมด เพราะกับช่วงท้ายๆ ของอัลบัม กับสิ่งที่ได้ยินใน “Cocaine”, “Ever Since I Lost My Mind” หรือว่า “No Way Out” รวมไปถึงเพลงปิดอัลบัม “Off You” ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ในทิศทางของงานโฟล์ค-ร็อค, คันทรี ร็อค
ที่การนำมาจัดวาง จับไว้ในตอนท้ายแบบนี้ นอกจากจะทำให้คนฟังที่ตามกันมาตั้งแต่ต้นได้สัมผัสกับสิ่งที่ทำให้รักพวกเขาอีกครั้งแล้ว คนฟังใหม่ๆ ก็จะได้รับรู้ถึงอีกด้านของซัสโต ที่อาจจะย้อนไปหาฟังความเป็นมา ในโลกที่การหาอัลบัมเก่าๆ ของศิลปินสักรายไม่ได้ยากอีกต่อไปอย่างในวันนี้ รวมไปถึงยังเป็นการปิดท้ายอัลบัมที่เริ่มต้นได้อย่างหวือหวา ด้วยความเรียบง่าย และผ่อนคลาย
โดย นพปฎล พลศิลป์ เรื่อง Ever Since I Lost My Mind อัลบัมอเมริกันพันธุ์แท้รุ่นใหม่จาก SUSTO คอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ไทยโพสท์ 1 มีนาคม 2562
[one_half][/one_half][one_half_last][/one_half_last]