FEATURESMusic Featuresสัมไม่พลาด

สแลชกับความสงบใน GN’R และความตกต่ำของดนตรีร็อก งานใหม่ของวงตัวเองและ Guns N’ Roses

สแลชอีกหนึ่งเทพกีตาร์ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ www.rolingstone.com พูดถึงงานเดี่ยวชุดใหม่ และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอยู่ใน “วงดนตรีที่อันตรายที่สุดในโลก”

สแลชไม่เคยหยุดนิ่ง นับตั้งแต่กลับมาทำงานกับ Guns N’ Roses ในปี 2016 มือกีตาร์ที่ใส่หมวกทรงสูงรายนี้ออกทัวร์ทั้งกับกันส์เอ็นโรเซส และกับวงของตัวเอง วงที่ยากจะเอ่ยชื่อจบด้วยการหายใจเพียงครั้งเดียว Slash featuring Myles Kennedy and the Conspirators ยิ่งไปกว่านั้น ในเดือนนี้ (กุมภาพันธ์ 2022) เขายังปล่อยงานใหม่กับทั้งสองวงออกมา อัลบัม ‘4’ กับเคนเนดีและเดอะ คอนสไพเรเทอร์ส และอีพีชุด ‘Hard Skool’ กับกันส์เอ็นโรเซส

ชีวิตกว่าจะมาถึงจุดนี้ของสแลช ถือว่าใช้เวลาไม่น้อย หลังผ่านปีแรก ๆ ในบ้านเกิดที่อังกฤษ ก่อนจะโยกย้ายมาที่แอล.เอ. กับครอบครัวตั้งแต่อายุไม่มาก แล้วก็เข้าร่วมวงกันส์เอ็นโรเซสในปี 1985 จากนั้นก็ปักหลักสร้างสไตล์เฉพาะตัวให้กับการเล่นกีตาร์ ท่อนโซโลและริฟฟ์ที่เขาแต่ง ทำให้เพลงอย่าง “Welcome to the Jungle”, “Sweet Child o’ Mine” และ “November Rain” กลายเป็นงานคลาสสิกในทันที ในปี 1988 หนึ่งปีหลังออกอัลบัม ‘Appetite for Destruction’ ที่กลายเป็นอัลบัมชุดแรกที่ขายดีตลอดกาลในเวลาอันรวดเร็ว ตามมาด้วยอัลบัมคู่ ‘Use Your Illusion’ ที่แสดงให้เห็นว่า ดนตรีฮาร์ด-ร็อก ซื่อ ๆ ตรง ๆ ทำอะไรได้บ้างในยุคที่ดนตรีกรันจ์เพิ่งเริ่มต้น

หลังมีงานเดี่ยวกับ Slash’s Snakepit สแลชอำลากันส์แบบขมขื่นและกราดเกรี้ยวในปี 1996 และไปทำงานกับวง Velvet Revolver ที่อัลบัม ‘Contraband’ ซึ่งออกในปี 2004 ทำยอดขายระดับแผ่นแพลทินัมคู่ แล้วก็เป็นงานเดี่ยวของตัวเอง หากท้ายที่สุดเส้นทางของเขาก็มาบรรจบกับกันส์เอ็นโรเซสอีกหน ในขณะที่ยังพาวงของตัวเองเดินหน้า แต่ไม่ว่าจะจับงานไหน ที่แน่ ๆ เขามั่นใจในบทบาทของตัวเองเต็มที่

“ผมแค่ทำงานของผม” สแลชพูดเอาไว้ในเดือนธันวาคม “ไมลส์ทำงานในฐานะนักร้องนำ แต่ผมทำงานในฐานะมือกีตาร์ ผมออกหน้าเสมอในทุกวงที่ผมเล่นด้วย แต่ผมไม่ใช่คนที่พูดมากหรือพูดน้อยเกินไป ผมเล่นดนตรีดัง แต่ไม่มีอะไรแย่ ๆ ออกมาจากปาก และในวงเดอะ คอนสไพเรเทอร์สก็เหมือนกัน ความแตกต่างหลัก ๆ ก็คือ นี่คือวงของผม หรืออย่างน้อยผมเป็นคนปะติดปะต่อ แล้วรวมมันเข้าด้วยกัน มันเริ่มต้นจากการเป็น ‘สแลช’ ตอนผมทำงานของสแลชในปี 2010 แล้วพอไมลส์มา ผมก็เอาชื่อเขามาแปะไว้ด้วย จากนั้นก็เป็นเบรนต์ (ฟิตซ์ – กลอง) และท็อดด์ (เคิร์นส์ – เบส) กลายเป็นเดอะ คอนสไพเรเทอร์ส ซึ่งชื่อวงรวมทุกอย่างเอาไว้ มันยาวเพราะผมไม่อยากให้มีจุดเด่นเพียงคนเดียว”

แม้จะเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ แต่สแลชก็พบว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางอีกครั้ง ซึ่งในการให้สัมภาษณ์กับโรลลิง สโตน เขาจะพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

@ คุณกลับบมาร่วมงานกับกันส์เอ็นโรเซส 5 ปีที่แล้ว แต่คุณก็มีงานเดี่ยวชุดที่สองออกมาด้วย คุณได้อะไรบ้างจากการนำวงของตัวเองในตอนนั้น?
“ไม่มีอะไรไร้สาระเท่ากับการอยู่ในวงร็อกแอนด์โรลล์ และถูกจำแนก จดจำ การทำนี่-โน่น และนั่น ซึ่งผู้คนล้วนให้ความสนใจ แต่เป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นกับเดอะ คอนสไพเรเทอร์ส ทุกอย่างที่ทุกคนต้องการก็คือ มาทำงานด้วยกัน เล่นดนตรี บันทึกเสียง ปล่อยงาน แล้วก็ออกไปทัวร์ ผมแค่จัดการให้ทุกอย่างมันเดินหน้าไปเรื่อย ๆ เพราะเรามีความสุขที่ได้ทำ และมันปลอดความกดดันทั้งปวง”

@ ท่อนเปิดกีตาร์ในเพลง “Fall Back to Earth” เพลงปิดอัลบัมใหม่ของคุณ ‘4’ ฟังเล่นใหญ่มาก คุณคิดเขียนอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไง?
“ผมไปเที่ยวซาฟารีในแอฟริกา ที่อุทยานแห่งชาติครูเกอร์ ซึ่งผมเอากีตาร์ไปด้วย ผมไม่อยากให้มันฟังออกมาเชย ๆ แต่บรรยากาศข้างนอกที่นั่น มันสวยมากสำหรับการออกมานั่งเล่นตอนกลางคืน ท้องฟ้าสุดแสนวิจิตร แล้วผมก็คิดเมโลดีขึ้นมาได้ แล้วก็คิดว่ามันน่าจะเป็นสัญญาณบางอย่าง เพราะมันไหลลื่นมาก มันได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมเต็ม ๆ”

@ ในอัลบัม ‘4’ คุณทำงานกับโปรดิวเซอร์เดฟ ค็อบบ์ ที่ขึ้นชื่อในการทำเพลงคันทรี แต่อัลบัมคุณโคตรร็อกแอนด์โรลล์ รสนิยมทางดนตรีของคุณกับเขาช่วยเติมเต็มกันได้ยังไง?
“ผมคุยกับคน 2-3 คน เพื่อหาว่าใครที่น่าจะเป็นโปรดิวเซอร์ดี ๆ สำหรับงานร็อกแอนด์โรลล์ในทุกวันนี้ ผมรู้ว่ามีน้อยมาก แล้วจู่ ๆ ผมก็หาเจอคนที่ใช่ ผมจบลงตรงชื่อของคน 4 คน และหนึ่งในนั้นคือ เดฟ ค็อบบ์”
“ถึงดนตรีคันทรีไม่ใช่สิ่งที่ผมเล่น ผมก็ชื่นชอบจิตวิญญาณของมันนะ แล้วก็ชอบดนตรีคันทรีเก่า ๆ ด้วย เรื่องเจ๋ง ๆ ของเดฟก็คือ ดนตรีคันทรีของเขา มันร่วมสมัยพอ ๆ กับที่มีแก่นของดนตรี มีความเป็นมนุษย์สุด ๆ แล้วก็มีความดิบ มีอารมณ์ในตัวเยอะ ผมขุดลงไปตรงนั้นแหละ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันอยู่บนยอดสุด เขาเคยทำอัลบัมให้กับ Rival Sons ซึ่งผมคิดว่าเป็นหนึ่งในวงโมเดิร์นร็อก ที่ซาวนด์ดีมาก ๆ
“ตอนเราคุยกัน เขาพูดถึงเรื่องที่อยากทำเพลงร็อกแอน์โรลล์แบบเล่นสดมากขนาดไหน และผมก็ ‘เพื่อน… ผมก็พยายามทำงานร็อกแอนด์โรลล์แบบเล่นสดมาหลายปีละ ไม่มีโปรดิวเซอร์คนไหนยอมให้ผมทำเลย’ เพราะฉะนั้นเราเลยโป๊ะเช๊ะกันจากตรงนั้น เราใส่ทุกอย่างเข้าไปแล้วก็เริ่มแจมกันจนได้เพลงที่ใช่ เขาจะอยู่ในห้อง ตอนที่พวกเราเล่นไปเรื่อย ๆ การบันทึกเสียงแบบนี้มันเหมือนกับการได้ระบายออกสำหรับผม”

@ ร็อกแอนด์โรลล์ ไม่ใช่ดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างที่เคยเป็น คุณอยากลองเปลี่ยนอะไรบ้างไหม?
“ผมเป็นร็อกแอนด์โรลล์ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน และนั่นคือสิ่งที่ผมเริ่มต้น นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมเป็นที่รู้จัก และเป็นสิ่งที่ผมทิ้งทุกอย่างเพื่อมัน มันอยู่ในสายเลือด ผมไม่สนหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น นี่คือสิ่งที่ผมทำ ในฐานะนักดนตรี และในฐานะศิลปิน ที่ชื่นชมงานดนตรีที่หลากหลาย มีคนตั้งเยอะที่ทำงานเจ๋ง ๆ ออกมา ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นร็อกแอนด์โรลล์
“ตราบเท่าที่วงการเพลงมันยังไปได้ ผมไม่สนเลยนะว่าดนตรีอะไรที่คนชอบ ตอนนี้ร็อกแอนด์โรลล์ไม่ได้ทำเงินอย่างที่มันเคยทำ ผมได้เห็นดนตรีร็อกแอนด์โรลล์ที่รุ่งเรือง กลายเป็นแนวเพลงที่ตกต่ำเพราะเงิน และความเฮงซวยของอุตสาหกรรมดนตรี ในช่วงเวลาที่มันเคยทำเงินทำทองมหาศาล
“หลังจากยุค ‘90s และเมื่อเอ็มพีธรี กับการแชร์ไฟล์เกิดขึ้น หลังจากที่ทุกคนต้องการทำให้คนอื่น ๆ เห็น โดยไม่สนใจว่าจะมีใครฟัง มันก็ดิ่งลงเหว ช่วงเวลาในตอนนี้ ผมก็แค่ถือปืนในมือให้มั่น พยายามและทำสิ่งที่รักให้ดีที่สุด และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ยิน

“ทุกวันนี้สิ่งที่น่าสนใจก็คือ วิธีที่อุตสาหกรรมดนตรีเลือกที่จะเปลี่ยน และร็อกแอนด์โรลล์ก็เป็นธุรกิจที่กัดกินตัวเอง ตอนนี้มันไม่มีอะไรเลย มันไม่ทำเงิน เด็กในปัจจุบันต่างค้นหาและพยายามทำในสิ่งที่ตัวเองชอบโดยบริสุทธิใจ ซึ่งมันโคตรเจ๋งเลย พลังในการทำงานมันเยี่ยมมาก ซึ่งทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย แล้วในขณะที่ให้ความสนใจกับสิ่งต่าง ๆ คนอื่น ๆ ทำอะไรกันบ้าง ผมก็พยายามที่จะทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด”

@ คุณเกิดที่แฮมป์สตีด,ลอนดอน อะไรคือความเป็นอังกฤษในตัวคุณ?
“เหนือกว่าสิ่งอื่นใด มันเป็นความชาตินิยมสุด ๆ ที่ผมมีให้อังกฤษ บางทีมันน่าจะเป็นสิ่งที่คนอังกฤษทุกคนมี มันอยู่ในดีเอ็นเอหรือบางสิ่งบางอย่าง ต่อให้ผมมาอยู่อเมริกาตั้ง 40 กว่าปีแล้วก็เถอะ แม้จะเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เลือนหายไป คงเป็นคำที่ผมใช้ ผมเรียกป้าด้วยการออกเสียงว่า ‘aunt’ ไม่ใช่ ‘ant’ แบบที่คนอเมริกันเรียกกัน หรือความชื่นชอบอาหารเช้าแบบอังกฤษ”

@ แม่คุณเป็นคนออกแบบเสื้อผ้าให้เดวิด โบวี, จอห์น เล็นน็อน และเจนิส จอปลิน ท่านสอนอะไรคุณบ้างในเรื่องสไตล์?
“ไม่เคยมีการคุยกับแม่ในเรื่องแฟชันหรือว่าสไตล์เลยนะเท่าที่ผมจำได้ ผมต้องใช้จิตใต้สำนึกสำหรับเรื่องเสื้อผ้า ผมจบด้วยการเป็นเด็กที่ใส่เสื้อยืดกับการเกงยีนส์ และไม่เคยพัฒนาอะไรต่อจากนั้น แต่ผมชอบกางเกงหนัง ผมจำได้ตอนที่แม่ตัดหนึ่งในกางเกงหนังที่เท่สุด ๆ เท่าที่ผมเคยมีให้ ซึ่งผมเอาไปขายเพื่ออะไรเห่ย ๆ เหมือนคนงี่เง่าในอีกหลายปีต่อมา แต่ผมก็ยังจัดการกับสไตล์ในการแต่งตัวโดยใช้จิตใต้สำนึกเหมือนเดิม”

@ แม่คุณเป็นคนผิวดำ พ่อเป็นคนขาว คุณหาตัวตนของตัวเองตอนกำลังโตได้ยังไง?
“ตอนกำลังโต ผมเข้ากับอะไรไม่ได้เลย ช่วงที่ย้ายมาที่นี่ (สหรัฐอเมริกา) ผมติดสำเนียงอังกฤษ ไว้ผมยาว ใส่เสื้อยืดที่สกรีนอะไรเห่ย ๆ แล้วก็กางเกงยีนส์ที่เป็นรู ผมไม่เหมาะกับที่ไหน ที่โรงเรียนผมเป็นเด็กผิวขาว แต่ด้านผิวดำของผมจะอยู่ที่บ้าน เพราะผมอาศัยที่แถวตอนกลางทางใต้ของแอล.เอ. ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองขาวเกิน ผมไม่ค่อยรู้สึกสบายตัวสบายใจกับผิวของตัวเอง
“สักเกรด 7 หรือ 8 ผมก็หยิบกีตาร์มาเล่น และมันก็เปลี่ยนหลาย ๆ สิ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนั้นคือ ผมโคตรเท่ เพราะดูเยือกเย็นแล้วก็เข้าถึงยาก จากตรงนั้นผมก็ไม่สนว่าผิวตัวเองสีอะไรละ ยกเว้นตอนที่คุณมองหาคนทำงานด้วยในวง และผิวของคุณดันดำกว่าพวกเขา มันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งคุณสามารถรู้สึกได้ แต่มันก็แค่ส่วนหนึ่งในชีวิต และคุณก็แค่ไปกับมันให้ได้
“ผมไม่เคยเอาอะไรพวกนี้มาคิดเป็นเรื่องยิบย่อยส่วนตัว ก็แค่นิยามตัวเองด้วยการไม่เป็นอะไรที่จำเพาะเจาะจง (หัวเราะ)”

@ มาถึงตรงนี้ ตรงไหนที่สแลชจบลง และซอล ฮัดสัน (ชื่อจริงของสแลช) เริ่มต้น?
“ผมเริ่มการเป็นสแลชตอนเรียนเกรด 9 ตอนนี้กลายเป็นเรื่องแปลกละ ถ้ามีใครเรียกผมว่าซอล เพราะคนสุดท้ายที่เรียกผมว่าซอล ก็คือยายที่จากไปนานแล้ว แต่ใบขับขี่, พาสส์พอร์ต รวมถึงเอกสารตามกฎหมายของผมยังใช้ชื่อนี้นะ เพราะในเรื่องพวกนี้ มันดีกว่าเป็นสแลชแน่ ๆ”

@ อะไรคือความลับในการทำให้เกิดความสงบในกันส์เอ็นโรเซสทุกวันนี้?
“ก็แค่เก็บทุกอย่างไว้กับพวกเรา ปัญหาใหญ่ตอนที่วงดังเป็นพลุแตก แล้วก็ดูเหลี่ยมจัดอย่างที่ผมชอบพูดถึงวงในตอนนั้น พวกนักธุรกิจในวงการเพลงมักจะแทรกตัวเข้ามาอยู่ระหว่างความสัมพันธ์ของพวกเรา และทำให้เกิดผลกระทบในแง่ลบกับเรื่องต่าง ๆ มันทำให้ผมออกจากวง แล้วกลายเป็นคนดื้อด้านอย่างที่เห็น ซึ่งผมไม่เคยมองย้อนกลับไปอีกเลย”

@ ในภาพรวม อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดในการกลับมาเป็นกันส์เอ็นโรเซส?
“ผมคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ การจัดการกับเรื่องร้าย ๆ ที่ปกคลุมได้อย่างถาวร ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม กับแอ็กเซิล ระหว่างเรามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นเพราะบุคคลที่สาม มันเป็นอะไรที่ซับซ้อน และยิ่งเราไม่คุยกัน มันก็ไปกันใหญ่เรื่อย ๆ แต่สิ่งที่ดีมาก ๆ ก็คือ พอแอ็กเซิล, ดัฟฟ์ และผม เข้ามาในห้อง เล่นดนตรีด้วยกัน มันรู้สึกอะไรไม่รู้ ที่ผมไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ มันเหมือนกับ… ‘ว้าว! เฮ้ยนี่แหละ นั่นคือสิ่งที่มันเป็น’ แล้ว… ก็แค่ออกไปเล่นด้วยกันอีก มันเหมือนกับ กูงง ๆ แล้วว่า เรากลับมาวุ่นวายกับสิ่งที่เราเคยเป็นในยุค ’90s ได้ยังไงวะ”

@ กันส์เอ็นโรเซส เพิ่งปล่อยเพลง “Absurd” และ “Hard Skool” เพลงแรกที่คุณทำกับวงในรอบ… กว่า 25 ปี คุณรู้ได้ยังไงว่าเพลงนี้มันใช่แล้ว?
“’Hard Skool’” โดยตัวเพลงแล้ว มันสมบูรณ์แบบแล้วนะตอนที่ถูกส่งมาให้ผม แล้วดัฟฟ์กับผมก็ทำพาร์ตกีตาร์กับเบสใหม่ มันเป็นเพลงง่าย ๆ ผมไม่ต้องคิด-วิเคราะห์-แยกแยะให้วุ่นวาย ผมคิดว่ามันเป็นการทำงานที่สนุก ก็เพราะองค์ประกอบและชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่เราทำกัน มันเป็นของใหม่ อย่างน้อยก็สำหรับผมกับดัฟฟ์ เราเลยมีความสุขกับมัน มีอะไรใหม่ ๆ กำลังตามมาอีก บางทีอาจจะซับซ้อนนิดหน่อย แต่มันสนุกแน่”

@ นั่นหมายความว่าจะมีอัลบัมใหม่ตามมา?
“ผมรู้ว่าเรามีเพลงแล้วละ และเรากำลังจะปล่อยอีกเพลงในเร็ว ๆ นี้ แล้วจะมีอีกเพลงหลังจากนั้น ตราบเท่าที่การบันทึกเสียงยังไปต่อ ส่วนจะมาเป็นแพ็กเกจรวมไหม คงต้องดูกันไปก่อน แต่ผมเชื่อมั่นนะว่า ด้วยอะไรบางสิ่งบางอย่าง มันจะมี”

@ กันส์เอ็นโรเซสเคยเป็นวงดนตรีที่อันตรายที่สุดในโลก อะไรที่คุณเรียนรู้จากการเป็นวงเจ้าปัญหาบ้าง?
“สิ่งหนึ่งที่ผมภูมิใจในการเป็นกันส์เอ็นโรเซสก็คือ เราได้ทำทุกอย่างที่เราอยากทำ และไม่เคยทำเพื่อขายหรือเพื่อความคิดทางการเมืองของใคร ถ้ามันทำให้เรากลายเป็นวงเจ้าปัญหา ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเราจริงใจกับตัวเราเอง และรู้สึกดีกับการทำงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงตั้งแต่ก่อนจะได้เซ็นสัญญาด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะไปที่ไหน เรากลายเป็นสาเหตุของความโกลาหล ความรุนแรง และไม่เคยทำสิ่งต่าง ๆ ตามแบบแผนที่เป็น หรือสิ่งที่สังคมยอมรับ ผมคิดเสมอว่า นั่นคือส่วนหนึ่งของการที่อยู่ในวง ๆ นี้ มาถึงตอนนี้เวลาคิดถึงทุกสิ่งอย่างบ้า ๆ บอ ๆ ที่เกิดขึ้น และถูกทดสอบไปแล้ว มีอะไรไม่เยอะละที่เราสามารถทำได้ แต่เราไม่เคยตั้งใจที่จะทำให้เป็นแบบนั้นเลย”

@ คุณพูดถึงการแลกกางเกงหนังของแม่กับเฮโรอีน คุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องในวันเก่า ๆ พวกนั้นไหม?
“มันอาจจะเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย อย่างกางเกง, กีตาร์สัก 2-3 ตัว แต่คุณก็ต้องไปต่อ ผมโชคดีมาก ๆ ที่ในช่วงเวลาที่ผมบ้าบอคอแตกมาก ๆ ไม่เคยเป็นสาเหตุให้ร่างกายใครบาดเจ็บ หรือเมาแล้วสร้างความเสียหายที่เป็นการถาวร เพราะฉะนั้นผมไม่เชื่อเรื่องการมานั่งเสียใจกับการทำให้เกิดอะไรแย่ ๆ ขึ้นมา”

@ คุณคลีนมาหลายปีแล้ว มีคำแนะนำอะไรให้คนที่กำลังล้างตัวเองให้สะอาดบ้างไหม?
“จากประสบการณ์ของผม มันยากที่จะไปถึงจุดที่ว่า… ผมคิดว่าคำที่ใช้กันในกลุ่มคนเลิกเหล้าน่าจะเป็น ‘ยอมจำนน’ ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คุณยอมรับความจริงที่ว่าคุณมีปัญหาและจำเป็นต้องจัดการหรือหาคนมาช่วย มันต้องใช้เวลาชั่วนิรันดร์ก็ว่าได้เพื่อไปถึงตรงนั้น เพราะมันเป็นเรื่องสนุก และเหมือนเป็นเกม จนกระทั่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนั้น และคุณก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนั้น แล้วเรื่องใหญ่ก็มาถึง คุณต้องตัดสินใจให้ได้ว่าอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองจริง ๆ คุณต้องจริงใจกับตัวเอง แล้วสิ่งต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้น อย่างหนึ่งที่ผมพอจะบอกได้ก็คือ คุณไม่มีทางเดินบนเส้นทางที่คุณเคยเดินได้อีก เพราะคุณอาจจะจบลงที่ความตายหรือไม่ก็เข้าคุก ไม่มีตัวเลือกอื่นอีกแล้ว
“ผมผ่านอะไรแย่ ๆ ที่ผมไม่ควรผ่านมาเยอะ ผมเลยพอใจกับการที่ได้อยู่ตรงนี้ และรักในสิ่งที่เป็นและทำ ผมก็แค่มีความสุขที่ตัวเองจัดการมันได้ก่อนหน้าที่มันจะทำลายผมอย่างถาวร จนไม่มีทางที่ผมจะกลับมาได้อีก แต่ผมไม่มานั่งเสียใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นนะ คือ ผมก็รักเรื่องแย่ ๆ พวกนั้น มันสนุกในช่วงเวลาหนึ่ง แต่มันก็ต้องมีจุดที่สิ้นสุด”

@ อะไรคือการซื้อเพื่อการผ่อนคลายที่สุดที่คุณเคยทำ?
“เอ่อ… คุณกำลังพูดกับคนที่มีกีตาร์ 400 กว่าตัวนะ โคตรเยอะเลย แต่ต่อให้ผมไม่ซื้อ ก็ยังมีคนให้มาเรื่อย ๆ ซึ่งมันเยอะจริง ๆ นอกจากนี้แล้วผมก็ไม่มีของอะไรแพง ๆ อีก ผมมีรถสองคัน ผมเลยพูดไม่ได้ว่า ผมเป็นพวกซื้ออะไรเพื่อการผ่อนคลาย แต่กีตาร์นี่มันมีอารมณ์แบบเสพติดเล็ก ๆ นะ แต่ผมก็ไม่ได้สะสมกีตาร์ ผมแค่ซื้อมา ในช่วงเวลาหนึ่งผมเคยเล่นมันทุกตัวเลย แต่มันก็คือกีตาร์ ตอนเดวิด กิลมอร์ หรือเอริก แคล็พทัน ขายกีตาร์ของตัวเอง ผมจะแบบ…. ‘หือ น่าสนใจว่ะ’ ผมสงสัยว่าการทำแบบนั้นมันจะรู้สึกยังไง เหมือนการปลดปล่อยไหม หรือไง?”

@ การโซโลกีตาร์ของคุณ เหมือนคุณให้มันร้องเพลง อะไรคือความลับของท่อนลีดดี ๆ?
“มีคนเยอะมากที่ตามใจตัวเองเวลาคิดท่อนโซโล โซโลที่พวกเขาเล่นเลยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเพลง พวกเขาแค่แจมเฉย ๆ เล่นสารพัดลิก (Lick) อะไรก็ไม่รู้ แล้วที่คุณบอกว่า เสียงกีตาร์ (ของผม) มันมีท่วงทำนองเหมือนร้องเพลง หมายความว่า การเล่นโซโลของผมมันเป็นไปภายใต้โครงสร้างทำนองของเพลง ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีนะ ผมชอบการโซโลกีตาร์ แต่ผมชอบท่อนโซโลที่อยู่ภายใต้โครงสร้างของเพลง ไม่ใช่การที่ใครบางคนมายืนบนเวที แล้วก็เล่นทุกอย่างที่เป็นของตัวเอง ผมชอบกีตาร์โซโลที่มันมีผลต่อเพลง”

@ คุณมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจน คุณจะออกไปข้างนอกยังไง เมื่อใคร ๆ ก็จำคุณได้?
“ส่วนใหญ่แล้วผมสามารถไปไหนก็ได้นะ ผมไม่ใช่บริตนีย์ สเพียร์ส บางคนจะจำผมได้ โดยเฉพาะถ้าพวกเราอยู่ในเมืองด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วผมจะเก็บตัว ผมเกลียดการเรียกร้องความสนใจให้ตัวเอง ผมเลยแค่แว่บไปแว่บมาในที่ต่าง ๆ แล้วไม่พาคนติดสอยห้อยตามจนมากเกินไป แต่อย่างหนึ่งที่ต้องเป็นไปก็คือ ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่รู้สึกแย่หรือรำคาญกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากคุณทำในสิ่งที่คนมากมายชื่นชอบ ซึ่งทำให้คุณถูกจดจำได้ ถึงมันจะไม่รู้สึกสะดวกสบาย แต่คุณก็ต้องเล่นไปกับมัน”

@ มันมีข้อเสียของความสำเร็จใช่ไหม?
“ข้อเสียเพียงอย่างเดียวจริง ๆ ของความสำเร็จก็คือ การไม่รู้ว่าจะจัดการมันยังไง หรือทำตัวยังไงกับผลลัพธ์ของความสำเร็จที่ได้รับ ผมคิดว่าตัวเองผ่านอะไรแบบนั้นมาเยอะ บางทีสิ่งที่ผมเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เจอตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็คือแค่อยู่กับตัวเอง อย่าไปเต้นกับมันเยอะ ผมไม่สนเรื่องได้รับการยอมรับเวลาแสดงในโชว์ แต่ผมพบว่า การได้เป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่ในบ้านที่แอล.เอ.มันเจ๋งกว่า หรือถ้าออกทัวร์ ผมจะไม่ไปมองหาใคร และมันก็หลายปีมาแล้วที่ผมพบว่าตัวเองไม่เก่งในเรื่องแบบนั้น บางคนก็พูดจาโผงผางมาก และรักจะเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ผมไม่ใช่คนแบบนั้น”

แปลและเรียบเรียงจาก บทความของ คอรี กรอว์ ใน www.rollingstone.com

เป็นกำลังใจให้เราได้ ด้วยการสนับสนุนทางการเงินที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วส่งสลิปการโอนมาที่ shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนคำขอบคุณให้ผู้สนับสนุนที่โชคดีเป็นประจำทุกเดือน

ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่

What is your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

More in:FEATURES

Comments are closed.